SOSCOPE

BBL โชว์กำไร Q2/66 ที่ 1.13 หมื่นลบ. โต 62.2% หนุนครึ่งปีแรกกำไรทะลุ 2.1 หมื่นลบ.

July 21, 2023188

' . $name . '

ธนาคารกรุงเทพ (BBL) เปิดเผยผ่านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ว่า ผลประกอบการไตรมาส 2/66 มีกำไร 11,294ล้านบาท เพิ่มขึ้น 62.2% จากไตรมาสเดียวกันปีก่อน โดยมีปัจจัยหลักจากรายได้ดอกเบี้ยสุทธิที่เพิ่มขึ้นตามทิศทางของอัตราดอกเบี้ย

ส่วนกำไรสุทธิสำหรับงวดครึ่งปีแรก 66 อยู่ที่ 21,423 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 52.2% จากงวดแรกปี 2565 โดยส่วนใหญ่มาจากรายได้ดอกเบี้ยสุทธิเพิ่มขึ้น 36% สอดคล้องกับภาวะอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น จากอัตราผลตอบแทนของสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดรายได้เพิ่มขึ้น สุทธิกับการเพิ่มขึ้นของต้นทุนเงินรับฝากและการปรับอัตราเงินนำส่งกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินเข้าสู่ระดับเดิมตั้งแต่ต้นปี 2566 ส่งผลให้ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิเพิ่มขึ้นเป็น 2.88% รายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิอยู่ในระดับใกล้เคียงกับงวดเดียวกันของปีก่อน

 

 

สำหรับค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้น 18.3% ตามกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้น และส่วนหนึ่งจากค่าใช้จ่ายเพื่อการพัฒนาและปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงาน ขณะที่อัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้จากการดำเนินงานอยู่ในระดับที่ลดลงเป็น 47.1%

ทั้งนี้ จากการที่ธนาคารมีการตั้งสำรองด้วยความระมัดระวังอย่างต่อเนื่อง จึงมีการตั้งสำรองในไตรมาส 2 ปี 2566 อยู่ในระดับใกล้เคียงกับไตรมาสก่อน ทำให้สำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในงวดแรกปี 2566 มีจำนวน 17,354 ล้านบาท

ธนาคารกรุงเทพยังคงดำเนินธุรกิจด้วยความระมัดระวังและรอบคอบ พร้อมทั้งรักษาเสถียรภาพฐานะการเงิน สภาพคล่อง และเงินกองทุนให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม เพื่อการเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน

 

 

ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2566 ธนาคารมีเงินให้สินเชื่อจำนวน 2,698,304 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.6% จากสิ้นปีก่อน ส่วนใหญ่จากสินเชื่อลูกค้าธุรกิจรายใหญ่และสินเชื่อลูกค้ากิจการต่างประเทศ สำหรับอัตราส่วน
เงินให้สินเชื่อที่มีการด้อยค่าด้านเครดิตต่อเงินให้สินเชื่อรวมยังคงอยู่ในระดับที่บริหารจัดการได้อยู่ที่ 2.9% ทั้งนี้ จากการที่ธนาคารยึดหลักการตั้งสำรองด้วยความระมัดระวังและรอบคอบอย่างต่อเนื่อง ทำให้อัตราส่วนค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตต่อเงินให้สินเชื่อที่มีการด้อยค่าด้านเครดิตอยู่ในระดับแข็งแกร่งที่ 287.1%

ธนาคารมีเงินรับฝาก ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2566 จำนวน 3,200,155 ล้านบาท อยู่ในระดับใกล้เคียงกับสิ้นปีก่อน และมีอัตราส่วนเงินให้สินเชื่อต่อเงินรับฝากอยู่ที่ 84.3% ขณะที่อัตราส่วนเงินกองทุนทั้งสิ้น อัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 และอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 ที่เป็นส่วนของเจ้าของต่อสินทรัพย์เสี่ยงของธนาคารและบริษัทย่อยอยู่ที่ 19.1% 15.7% และ 14.9% ตามลำดับ ซึ่งอยู่ในระดับที่สูงกว่าอัตราส่วนเงินกองทุนขั้นต่ำตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด

 

 

ในไตรมาส 2 ปี 2566 เศรษฐกิจไทยขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง โดยแรงขับเคลื่อนสำคัญมาจากภาคการท่องเที่ยว ตามนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ส่งผลให้ความเชื่อมั่นและการบริโภคภาคเอกชนปรับตัวดีขึ้น ขณะเดียวกัน การส่งออกของประเทศไทยยังคงเผชิญกับแรงกดดันจากอุปสงค์ทั่วโลกที่อ่อนตัวลง ทำให้ในระยะข้างหน้าเศรษฐกิจไทยยังคงต้องเผชิญกับความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนในระบบเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากประเทศเศรษฐกิจหลักที่มีเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับสูงต่อเนื่องและมีความเสี่ยงที่ภาวะเศรษฐกิจจะซบเซาลงและถดถอย รวมทั้งจากความผันผวนในตลาดการเงินโลก และจากความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ยืดเยื้อ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิดต่อไป

  1. ธนาคารกรุงเทพ
  2. BBL
  3. หุ้น
  4. ตลาดหลักทรัพย์