SOSCOPE

ดาวโจนส์ (Dow Jones) เทรดอย่างไร รู้ให้ลึกมากขึ้น

July 18, 2023259

' . $name . '

ดัชนี Dow Jones ดัชนี S&P 500 ดัชนี Nasdaq ดัชนีเหล่านี้เป็นสิ่งที่นักลงทุนได้ยินเป็นประจำเมื่อติดตามสภาวะการลงทุนตลาดหุ้นสหรัฐฯ

อย่างไรก็ตาม บางท่านอาจจะยังไม่ทราบว่าแต่ละดัชนีแตกต่างกันอย่างไร และในช่วงที่ผ่านมาสร้างผลตอบแทนเป็นอย่างไรบ้าง วันนี้เรามาทำความรู้จักกับดัชนีหลักๆ ที่สาคัญของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ซึ่งจะช่วยให้นักลงทุนสามารถลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ได้ดียิ่งขึ้น

ดัชนี Dow Jones

ดัชนี Dow Jones ซึ่งมีชื่อเต็มคือ Dow Jones Industrial Average (DJIA) หรือดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ เป็นดัชนีที่ประกอบด้วยหุ้นขนาดใหญ่ 30 บริษัทในตลาดหุ้น New York (NYSE) และตลาดหุ้น Nasdaq โดยได้รับการคัดเลือกจากคณะกรรมการของบริษัท S&P Dow Jones Indices ซึ่งเป็นเจ้าของดัชนี Dow Jones ในปัจจุบัน หุ้นที่อยู่ในดัชนี Dow Jones มาจากหลากหลายกลุ่มอุตสาหกรรม เช่น หุ้น 3M (กลุ่มอุตสาหกรรม), Apple (กลุ่มเทคโนโลยี), Coca Cola (กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค) และ Goldman Sachs (กลุ่มธุรกิจการเงิน)

การคำนวณ ดัชนี Dow Jones แตกต่างจากการคานวณดัชนีอื่นๆ โดยเป็นการนำราคาของหุ้นทั้ง 30 บริษัท มาบวกรวมกันแล้วหารด้วย 30 ดังนั้น หุ้นของบริษัทที่มีราคาสูงจะมีผลกับดัชนีมากกว่าหุ้นของบริษัทที่มีราคาต่า ส่งผลให้การเคลื่อนไหวของดัชนี ไม่สามารถสะท้อนภาพรวมของการลงทุนได้ดีมากนัก

 

 

ดัชนี S&P 500

ดัชนี S&P 500 ประกอบด้วยหุ้นขนาดใหญ่ 500 บริษัทของสหรัฐฯ จานวน 505 หลักทรัพย์ (หุ้นบางบริษัทอย่าง Alphabet มี 2 Share Class จึงส่งผลให้มีจานวนหลักทรัพย์มากกว่าจานวนบริษัท) ซึ่งรวมถึงหุ้น 30 บริษัท ที่อยู่ในดัชนี Dow Jones โดยหุ้นที่จะได้อยู่ในดัชนี S&P 500 ต้องผ่านเกณฑ์การคัดเลือกจากคณะกรรมการของบริษัท S&P Dow Jones Indices ซึ่งเป็นเจ้าของดัชนี S&P 500 เช่น มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Cap.)
สภาพคล่อง การกระจายหุ้นสู่รายย่อย (Free Float) เป็นต้น

การคำนวณดัชนี S&P 500 ทำได้โดยการนามูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Cap.) มาคำนวณ ส่งผลให้ดัชนีจะเคลื่อนไหวตามการเปลี่ยนแปลงของหุ้นที่มี Market Cap. ขนาดใหญ่ โดยหุ้นที่มีขนาดใหญ่ 5 อันดับแรกได้แก่ Apple, Microsoft, Amazon, Tesla และ Alphabet

 

 

ดัชนี Nasdaq

ดัชนี Nasdaq ซึ่งมีชื่อเต็มคือ ดัชนี Nasdaq Composite ประกอบด้วยหุ้นของบริษัทสหรัฐฯ และหุ้นต่างประเทศที่จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหุ้น Nasdaq โดยมีการนา American Depositary Receipts (ADRs) หรือใบสำคัญแสดงสิทธิเพื่อลงทุนหุ้นของประเทศนอกสหรัฐฯ และ REITs มารวมในการคำนวณดัชนี Nasdaq Composite ส่งผลให้จานวนหลักทรัพย์ที่ถูกใช้เพื่อคำนวณดัชนี มีจำนวนมากกว่า 3,000 หลักทรัพย์ ซึ่งแตกต่างจากดัชนี Dow Jones
และดัชนี S&P 500 ที่นำเฉพาะบริษัทของสหรัฐฯ มาคำนวณดัชนี

การคำนวณดัชนี Nasdaq Composite ใช้วิธีนามูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Cap.) มาคำนวณ โดยหุ้นที่อยู่ในดัชนีนี้ มากกว่า 50% เป็นหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี และรองลงมาคือกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย (Consumer
Discretionary) ขณะที่หุ้นขนาดใหญ่ 5 อันดับแรก ได้แก่ Apple, Microsoft, Amazon, Tesla และ Alphabet

 

 

ดัชนี Russell 2000

อีกหนึ่งดัชนีที่หลายคนอาจไม่คุ้นเคย แต่เป็นดัชนีที่ถูกพูดถึงเมื่อต้องการดูการเคลื่อนไหวของหุ้นขนาดเล็กในสหรัฐฯ ดัชนี Russell 2000 ประกอบด้วยหุ้นขนาดเล็ก 2,000 บริษัทของสหรัฐฯ โดยเป็นหุ้นในดัชนี Russell 3000
ซึ่งเป็นดัชนีที่ประกอบด้วยหุ้นขนาดใหญ่ของสหรัฐฯ 3,000 บริษัท ทั้ง 2 ดัชนี จัดทำโดย FTSE Russell

การคำนวณดัชนี Russell 2000 ใช้วิธีนามูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Cap.) มาคานวณเหมือนดัชนี S&P 500 และ Nasdaq โดยจะมีการทบทวนบริษัทในดัชนีทุกปี เพื่อให้มั่นใจว่า บริษัทในดัชนีเป็นบริษัทขนาดเล็ก ตัวอย่างของบริษัทที่อยู่ในดัชนี Russell 2000 ได้แก่ AMC Entertainment, Crocs, Avis Budget Group และ Macys

 

 

ผลตอบแทนย้อนหลังของดัชนีต่างๆ

เมื่อพิจารณาอัตราผลตอบแทนย้อนหลังในช่วงปี 2012-2021 พบว่า ดัชนี Nasdaq Composite สามารถสร้างอัตราผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีได้สูงที่สุดที่ระดับ 19.64% ขณะที่ดัชนี Russell 2000 สร้างผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีได้น้อยที่สุดที่ระดับ 13.23% นอกจากนี้เมื่อเทียบผลตอบแทนของแต่ละปีจะพบว่า ดัชนี Nasdaq Composite สามารถทำผลตอบแทนรายปีได้ดีที่สุด 5 ใน 10 ปี

  1. Dow Jones
  2. ดาวโจนส์
  3. S&P 500
  4. Nasdaq
  5. หุ้นสหรัฐฯ
  6. หุ้น
  7. เล่นหุ้น